การค้นพบไดโนเสาร์ครั้งแรก


ใครเป็นผู้พบซาก หรือฟอสซิลไดโนเสาร์คนแรกของโลก


ใครเป็นผู้ค้นพบไดโนเสาร์เป็นคนแรก - ในปี 1822 นายแพทย์ชาวอังฤกษชื่อ Gideon Mantell และภรรยาได้ค้นพบฟันขนาดใหญ่ถูกฝังอยู่ในหิน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับฟันของอิกัวน่า เขาเชื่อว่าน่าจะเป็นฟันของสัตว์เลื้อยคลานชนิดใดชนิดหนึ่งที่สูญพันธ์ไปแล้วจึงตั้งชื่อกระดูกชิ้นนี้ว่า อิกัวโนดอน (Iguanodon) ซึ่งหมายถึงฟันของอิกัวน่านั่นเอง หลังจากนั้นคนก็เริ่มเรียกเจ้าของฟันชิ้นนี้ว่า อิกัวโนดอน ตามนายแพทย์ผู้ค้นพบ



แล้วคำว่า “ไดโนเสาร์” เกิดขึ้นได้อย่างไร – หลังจากการค้นพบอิกัวโนดอนแล้ว นักชีววิทยาเกี่ยวพืชและสัตว์โบราณชาวอังกฤษ Richard Owen ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมพบว่าสัตว์ประเภทนี้ลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากสัตว์เลื้อยคลานทั่วไปคือ ร่างกายที่ใหญ่ผิดปกติและสามารถเดินโดยลำตัวตั้งตรงได้ จึงคิดว่าควรแยกสัตว์ประเภทนี้เป็นอีกประเภทต่างหาก เขาจึงเรียกพวกมันว่า “Dinosaur” ซึ่งมาจาก deinos หมายถึงใหญ่โตผิดปกติและ sauros ซึ่งหมายถึงสัตว์เลื้อยคลานในภาษากรีก



บรรพบุรุษของไดโนเสาร์คืออะไร – บรรพบุรุษสายตรงของไดโนเสาร์นั้นยังไม่ทราบอย่างแน่ชัด อย่างไรก็ตามจากการวิจัยทั้งสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่และฟอลซิล นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าบรรพบุรุษของไดโนเสาร์คือ สัตว์เลื้อยคลานที่เรียกว่า thecodonts ซึ่งจระเข้ที่พบเห็นในปัจจุบันและสัตว์เลื้อยคลานที่บินได้จำพวก pterosaur (สูญพันธ์ไปแล้ว) มีบรรพบุรุษร่วมกันกับไดโนเสาร์ ตอนแรก thecodonts ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก และใช้ชีวิตอยู่บนบกจากนั้นค่อยเริ่มวิวัฒนาการลงไปในน้ำ เริ่มว่ายน้ำได้ จากนั้นก็พัฒนากล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้นและกลับมาอยู่บนบกได้อีกครั้ง ซึ่งตอนนี้สามารถมีลำตัวตั้งตรงกับพื้นโลกได้แล้ว การวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ มาสู่การมีลำตัวตั้งตรงในการเดินถือเป็นต้นกำเนิดของการเกิดโดโนเสาร์นั่นเอง



จะแยกไดโนเสาร์กินเนื้อและกินพืชออกจากกันได้อย่างไร – ง่ายมาก เพียงแค่ดูลักษณะภายนอกก็สามารถแยกออกได้ ไดโนเสาร์กินเนื้อจะมีลักษณะเฉพาะคือมีคอหนาใหญ่ หัวใหญ่และปากใหญ่ มีฟันแหลมคมลักษณะเหมือนเลื่อย ในขณะที่ไดโนเสาร์กินพืชมักมีร่างกายขนาดใหญ่มโหฬาร หัวเล็ก ฟันลักษณะเป็นฟันบดและคอยาว โดยปกติแล้วไดโนเสาร์กินพืชจะมีร่างกายถูกวิวัฒนการมาเพื่อป้องกันตนเอง เช่น มีเขาบนหัว มีแผงหนามบนหลัง หรือมีอวัยวะป้องกันภัยอื่น ๆ 



อะไรคือความลับในไข่ไดโนเสาร์ - มีผลงานวิจัยบางชิ้นแสดงว่าขนาดและความหนาแน่นของรูอากาศที่เปลือกไข่ไดโนเสาร์เกี่ยวข้องกับการเกิดการเปลี่ยนแปลงความชื้นในอากาศขณะนั้น นอกจากนี้ ไข่ไดโนเสาร์ยังสามารถแสดงถึงอากาศและสิ่งแวดล้อมในยุคนั้นได้อีกด้วย นักวิทยาศาสตร์จีนได้ค้นพบภาวะผิดปกติของเปลือกไข่ไดโนเสาร์ ทำให้เชื่อว่าไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและอากาศในยุคปลายครีเตเชียสได้ (Cretaceous) ได้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้พวกมันไม่สามารถหายใจได้อย่างปกติและจึงเริ่มล้มตายและสูญพันธุ์ไปในที่สุด



หางที่แตกต่างกันของไดโนเสาร์มีไว้เพื่ออะไร - หางของไดโนเสาร์นั้นมีหลายรูปแบบ อาทิ หางที่ยาวลักษณะเป็นแท่งเหมือนไม้ ผอมบางเหมือนแส้ หางที่หนาใหญ่หรือแม้แต่มีลักษณะเป็นหนาม หางที่แตกต่างเหล่านี้มีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป เช่น รักษาจุดศูนย์ถ่วงของร่างกาย เป็นอาวุธป้องกันตัว หางที่เป็นหนามของ Stegosaurus มีไว้เพื่อป้องกันจากการโจมตีของผู้ล่า เป็นต้น 



ไดโนเสาร์ถูกจัดเป็นสัตว์เลื้อยคลานด้วยหรือเปล่า – ไดโนเสาร์, Saurian (สัตว์จำพวกกิ้งก่า), terrapin (เต่าอาศัยอยู่แถบอเมริกาเหนือ) และ ophidian (สัตว์ประเภทงู) ทั้งหมดถูกจัดว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่ในขณะสัตว์เลื้อยคลานประเภทอื่นจะมีลักษณะขาที่กางออกไปด้านข้าง มีท้องที่เลื้อยหรือขนานไปกับพื้นดิน แต่ไดโนเสาร์กลับสามารถเดินและยืดตัวขึ้นตรงได้ ซึ่งขานั้นมาจากด้านล่างของร่างกายไม่ใช่ด้านข้างเหมือนสัตว์เลื้อยคลานทั่วไป



ไดโนเสาร์มีกี่ประเภท – เมื่อดูจากลักษณะของกระดูกเชิงกรานแล้วสามารถแบ่งไดโนเสาร์ได้เป็นสองประเภทคือ Saurischia และ Ornithischia Saurischia เป็นไดโนเสาร์มีกระดูกเชิงกรานสามง่ามคล้ายจระเข้ ในขณะที่ Ornithischia มีลักษณะกระดูกเชิงกรานคล้ายนก ไดโนเสาร์ทั้งสองประเภทเกิดและวิวัฒนาการในยุคเมโสโซอิค (Mesozoic) กลายเป็นต้นตระกูลของไดโนเสาร์ต่อมา และทั้งสองประเภทก็สูญพันธ์ไปยุคปลายครีเตรเชียส (Cretaceous)



ไดโนเสาร์ที่ขุดค้นได้ในจีนคือประเภทไหน – ไดโนเสาร์ที่ขุดค้นได้ที่เมืองจื้อก้งถูกตั้งชื่อตามสถานที่ที่ค้นพบว่า Yangchuanoasurus hepingensis คือขุดค้นได้ที่หมู่บ้านเหอผิง(和平)หย่งชวน(永川)เมืองจื้อก้ง เป็นไดโนเสาร์พันธุ์กินเนื้อที่ดุร้าย 



นอกจากนี้ Yangchuanoasurus hepingensis ยังเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย กระโหลกของมันมีความยาวกว่าหนึ่งเมตร สูงกว่า 0.5 เมตร อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของโลกที่ขุดค้นได้ ดูจากภาพก็จะเห็นได้ถึงความแข็งแรงของกระดูกขากรรไกร พร้อมฟันแหลมเรียงแถวเป็นซี่ๆ ไว้ฉีกเนื้อเหยื่อ



ผิวหนังไดโนเสาร์ที่ขุดค้นได้ในจีน – จริง ๆ แล้วฟอลซิลผิวหนังของไดโนเสาร์เป็นสิ่งที่หายากอย่างยิ่ง เพราะว่าโดยปกติหลังจากที่ไดโนเสาร์ตาย ผิวหนังจะเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วเว้นเสียแต่ว่าบังเอิญอยู่ในอุณหภูมิพอดีที่สามารถเก็บรักษาไว้ได้ ผิวหนังไดโนเสาร์ที่ขุดได้ในจีนเป็นของพันธุ์ Mamenchisaurus ซึ่งเป็นไดโนเสาร์บกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีหัวเล็กคอยาวและหางยาว ผิวหนังที่ขุดได้แสดงถึงเกล็ดของไดโนเสาร์อย่างชัดเจน มีขนาด 6-15 มิลลิเมตร



นอกจากงานในส่วนนิทรรศการจัดแสดงให้ได้ชมแล้ว Shanghai Science & Technology Museum ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ให้ผู้เข้าชมได้ร่วมสนุกอีกมากมาย อาทิ ถ่ายภาพโดยใช้คอมพิวเตอร์ทำให้เหมือนกำลังขี่หลังไดโนเสาร์ท่องโลกล้านปีอยู่ กิจกรรมจำลองการขุดค้นกระดูกไดโนเสาร์ ต่อชิ้นส่วนโมเดลกระดูกฟอลซิล ห้องจำลองการทำงานของนักไดโนเสาร์วิทยา สไลด์มัลติวิชั่นการเก็บรักษากระดูกไดโนเสาร์ที่ขุดได้ เป็นต้น



เกี่ยวกับเมืองจื้อก้ง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา นักวิทยาศาตร์ได้ขุดค้นพบฟอลซิลของไดโนเสาร์หลายชนิดในสภาพสมบูรณ์ที่เมืองจื้อก้ง เป็นการแสดงถึงว่าในอดีตที่แห่งนี้เคยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยอย่างชุกชุมของไดโนเสาร์มาก่อน ที่เมืองจื้อก้งยังมี Zigong Dinosaur Museum หรือ 自贡恐龙博物馆 (จื้อก้งค่งหลงบ๋ออู้กว่าน) ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ระดับโลก นอกจากนี้ ฟอลซิลของไดโนเสาร์ที่ขุดได้ที่นี่ก็ขนาดใหญ่ติดอันดับโลกอีกด้วย

ซากดึกดำบรรพ์

ซากดึกดำบรรพ์


ซากดึกดำบรรพ์ หรือ บรรพชีวิน หรือ ฟอสซิล (fossil) คำว่า fossil มีความหมายเดิมว่า เป็นของแปลกที่ขุดขึ้นมาได้จากพื้นดิน แต่ในปัจจุบันถูกนำมาใช้ในความหมายของซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเก็บรักษาไว้

ซากดึกดำบรรพ์มีหลายชนิด อาจเป็นสิ่งที่มีความคงทนยากต่อการทำลาย เช่น ฟัน กระดูก หรือ เปลือก แต่ในบางสภาวะ อาจมีการเก็บรักษาซากสัตว์ทั้งตัวให้คงอยู่ได้ เช่น ช้างแมมมอท ที่ไซบีเรีย


การเปลี่ยนแปลงจากซากสิ่งมีชีวิตมาเป็นซากดึกดำบรรพ์นั้น เกิดได้ในหลายลักษณะ โดยที่เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง ส่วนต่างๆของสิ่งมีชีวิตจะค่อยๆถูกเปลี่ยน ช่องว่าง โพรง หรือรู ต่างๆในโครงสร้างอาจมีแร่เข้าไปตกผลึกทำให้แข็งขึ้น เรียกขบวนการนี้ว่าการกลายเป็นหิน (petrification) หรือ เนื้อเยื้อ ผนังเซลล์ และส่วนแข็งอื่นๆ ถูกแทนที่ด้วยแร่ โดยขบวนการแทนที่ (replacement)


เปลือกหอยหรือสิ่งมีชีวิตที่จมอยู่ตามชั้นตะกอน เมื่อถูกละลายไปกับน้ำบาดาล จะเกิดเป็นรอยประทับอยู่บนชั้นตะกอน ซึ่งเรียกลักษณะนี้ว่า รอยพิมพ์ (mold) หากว่าช่องว่างนี้มีแร่เข้าไปตกผลึก จะได้ซากดึกดำบรรพ์ ในลักษณะที่เรียกว่ารูปหล่อ(cast)


carbonization มักเป็นการเก็บรักษาซากดึกดำบรรพ์จำพวกใบไม้หรือสัตว์เล็กๆ ในลักษณะที่มีตะกอนเนื้อละเอียดมาปิดทับซากสิ่งมีชีวิต เมื่อเวลาผ่านไป ความดันที่เพิ่มขึ้น ทำให้ส่วนประกอบที่เป็นของเหลวและก๊าซถูกขับออกไป เหลือไว้แต่แผ่นฟิล์มบางๆของคาร์บอน หากว่าฟิล์มบางๆนี้หลุดหายไป ร่องรอยที่ยังหลงเหลืออยู่ในชั้นตะกอนเนื้อละเอียดจะเรียกว่า impression


สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีลักษณะบอบบาง เช่นพวกแมลง การเก็บรักษาให้กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ โดยปกติทำได้ยาก วิธีการที่เหมาะสม สำหรับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ก็คือการเก็บไว้ในยางไม้ (amber) ซึ่งยางไม้นี้จะป้องกันสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จากการทำลายโดยธรรมชาติ


นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว ซากดึกดำบรรพ์ยังอาจเป็นร่องรอย (tracks) ที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต เช่น ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต รอยคืบคลาน รอยเท้า ที่อยู่ในชั้นตะกอนและกลายเป็นหินในระยะเวลาต่อมา หรืออาจเป็นช่อง รู โพรง (burrows)ในชั้นตะกอน ในเนื้อไม้ หรือในหินที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต และมีแร่ไปตกผลึกในช่องเหล่านี้ มูลสัตว์หรือเศษอาหารที่อยู่ในกระเพาะ (coprolites) เป็นซากดึกดำบรรพ์ ที่มีประโยชน์ในการบอกถึงนิสัยการกินของสัตว์นั้นๆ หรืออาจเป็นก้อนหินที่สัตว์กินเข้าไป (gastroliths) เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร


เมื่อศึกษาจำนวนซากดึกดำบรรพ์ที่พบได้ พบว่ามีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลก ซากสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ถูกทำลายไปตามธรรมชาติ ดังนั้นการเก็บรักษาซากสิ่งมีชีวิตจนกระทั่งกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีสภาวะที่พิเศษ ซึ่งได้

แก่ การตกลงตัวและถูกเก็บรักษาไว้อย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการป้องกันการถูกทำลายจากธรรมชาติ และ การที่ต้องมีส่วนที่แข็งของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นส่วนที่ถูกเก็บรักษาได้ง่ายกว่าส่วนที่นิ่ม

ซากดึกดำบรรพ์ที่พบในหิน มีความสำคัญอย่างมาก มันแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ใช้เป็นตัวกำหนดอายุของหิน และนำมาใช้เป็นหลักฐานในการหาความสัมพันธ์ของชั้นหินในบริเวณต่างๆ สิ่งที่นักธรณีวิทยาสนใจเป็นพิเศษ เกี่ยวกับการนำซากดึกดำบรรพ์ มาเป็นตัวกำหนดอายุของหิน คือ index fossils ซึ่งเป็นซากของสิ่งมีชีวิตที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลก มีการแพร่กระจายอยู่ทั่วไป แต่มีชีวิตอยู่ในช่วงสั้นๆ ซึ่งการที่พบ index fossils ในชั้นหินต่างบริเวณกัน นักธรณีวิทยาสามารถกำหนดได้ว่าหินที่พบ index fossils เหล่านั้นมีอายุในช่วงเดียวกัน แต่อย่างไรก็ดี ในชั้นหินต่างๆ อาจพบ index fossils ได้ยาก ดังนั้นอาจจำเป็นต้องใช้กลุ่มของซากดึกดำบรรพ์ ในการหาความสัมพันธ์ของชั้นหินในบริเวณต่างๆ ซึ่งจะมีความแม่นยำกว่าการใช้ซากดึกดำบรรพ์เพียงชนิดเดียว


นอกจากประโยชน์ที่ใช้ในการหาความสัมพันธ์ของชั้นหินแล้ว ซากดึกดำบรรพ์ยังถูกนำมาใช้ในการบอกถึงสภาพแวดล้อมของการสะสมตัวของตะกอนด้วย ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมการสะสมตัวอาจได้จากการศึกษารายละเอียดจากชั้นหิน แต่ซากดึกดำบรรพ์อาจให้รายละเอียดที่มากกว่า



เมื่อสัตว์ดึกดำบรรพ์จะคืนชีพ

เมื่อสัตว์ดึกดำบรรพ์จะคืนชีพ

นวัตกรรมด้าน DNA อาจคืนชีพไดโนเสาร์อีกครั้ง.
ในนิทานเวตาลมีตำราชื่อ สังชีวนีวิทยา ที่สามารถชุบชีวิตคนจากเถ้ากระดูกได้ ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องแฟนตาซีที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ทว่าเทคโนโลยีด้านพันธุกรรมก้าวไปในทุกนาที ในขณะที่เรานั่งดื่มกาแฟยามเช้า อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐหน้านี้  อีกซีกโลกหนึ่งเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็กำลังขะมักเขม้นอยู่ในห้องวิจัย การทำโคลนนิ่งหรือการปลุกชีพของเหล่าบรรดาสัตว์ที่สูญพันธุ์นั้นล้วนแต่เป็นผลพวงของการค้นพบรหัสของสารพันธุกรรม หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า DNA นั่นเอง ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนจะพาท่านไปทำความเข้าใจกับการโคลนนิ่ง รวมทั้งการคิดค้นวิธีนำ DNA ไปชุบชีวิตเหล่าสัตว์โลกดึกดำบรรพ์ที่สูญสิ้นสายพันธุ์ไปนานแล้ว
DNA หรือสารพันธุกรรมคือตัวเก็บข้อมูลกำหนดคุณลักษณะทุกๆด้านของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ถ่ายทอดคุณลักษณะเฉพาะจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งอย่างมีระบบแบบแผน มนุษย์เพิ่งมารู้จักมันเมื่อไม่นานนักโดยบาทหลวงชาวออสเตรียนาม เกรกเกอร์ เมนเดล เขาพบว่าถั่วลันเตารุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูกมีการถ่ายโอนพันธุกรรมอย่างเป็นระเบียบชัดเจน  ทว่าเรื่องเหล่านี้กว่าจะเห็นภาพชัดก็เมื่อ เจมส์ วัตสัน นักวิทยาศาสตร์อเมริกากับ ฟรานซิส คริก นักอณูชีววิทยาจากเคมบริดส์ ตีพิมพ์งานลงวารสารเมื่อ ค.ศ.1953 ว่าค้นพบโครงสร้างดีเอ็นเอ ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นคู่ขนานบิดเป็นเกลียวคล้ายบันได ทั้งสองต่อยอดเรื่องนี้มาจากนักทดลองอีกทีมหนึ่ง การค้นพบนี้นำมาซึ่งการพัฒนาอณูชีววิทยา (molecular biology) หรือวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาโครงสร้างและการทำงานของสิ่งมีชีวิตในระดับโมเลกุล

นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯใช้โครงสร้างทางพันธุกรรมของสัตว์หลากหลายสายพันธุ์มาประกอบการร่างแบบจำลองของสัตว์ดึกดำบรรพ์ จึงได้พบว่าบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ที่สามารถสืบค้นได้ในปัจจุบันหน้าตาคล้ายหนู  เคยมีชีวิตอยู่หลังการล่มสลายในยุคไดโนเสาร์ ยิ่งนานวันเรื่องของสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ก็ยิ่งคลี่คลายมากขึ้น  และเมื่อความก้าวหน้าด้าน DNAมากกว่านี้ คงจะให้คำตอบที่เราสงสัยกันมายาวนานว่าแท้ที่จริงแล้วมนุษย์มาจากไหน เริ่มต้นเผ่าพันธุ์ ณ จุดใด
ทว่าในโลกของความเชื่อความศรัทธา การศึกษาค้นคว้าทดลองทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวกับพันธุกรรม รวมถึงการโคลนนิ่งมนุษย์นั้นถูกประณามจากศาสนจักร ด้วยเหตุที่ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นอำนาจของพระผู้ เป็น เจ้า พระสันตะปาปาจอห์น  ปอล ที่ 2 ทรงเป็นคนแรกที่ออกมาประณามเมื่อข่าวเรื่องการโคลนนิ่งมนุษย์หลุดออกมาในช่วงแรก

แต่ใช่ว่าคริสต์ศาสนาจะต่อต้านทุกเรื่องไปเสีย ใน ค.ศ.1931 สันตะปาปา Pius ที่ 2 ทรงจัดตั้ง สภาวิทยาศาสตร์แห่งองค์พระสันตะปาปา (Pontifical Academy of Science)  ขึ้น สภามีหน้าที่รายงานและหาคำตอบเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทุกแขนงที่มีการพูดถึงกันอยู่ในช่วงนั้นๆแก่พระสันตะปาปา มีการประชุมทุกปีที่วาติกัน โดยมีสมาชิกถาวร 80 คน ซึ่ง 25 คนในที่แห่งนั้นเคยได้รับโนเบลมาแล้ว บุคคลเหล่านี้มีทั้งนักจักรวาลวิทยา พันธุกรรมศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักชีววิทยา
สตีเฟ่น ฮอว์กิง นักฟิสิกส์คนดังของโลกที่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาแห่งนั้น เขากล่าวว่าการศึกษาและทดลองในส่วนของพันธุกรรมมนุษย์นั้นจะทำให้เราเข้าใจจักรวาลวิทยาและเข้าในพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น แม้ปฏิญญาสากลว่าด้วยการทดลองรหัสพันธุกรรมมนุษย์ขององค์การยูเนสโกจะระบุว่าห้ามทำการโคลนนิ่งมนุษย์ แต่ในหลายประเทศก็ไม่ได้มีการออกกฎหมายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ประธานาธิบดี บิล คลินตัน เคยออกมาทักท้วงเรื่องการโคลนนิ่งมนุษย์ว่า หากสำเร็จ สิ่งที่ตามมาอาจไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าของโลกเท่านั้น ความเกี่ยวข้องกับกฎหมายก็จะวุ่นวายตามไปด้วย ทว่าอเมริกาเองก็ไม่ได้มีกฎหมายห้ามการโคลนนิ่ง

และเมื่อมีความเข้าใจมากขึ้นในเรื่องของสารพันธุกรรม นักวิทยาศาสตร์ จึงเริ่มทำการทดลองกับสัตว์ ที่โด่งดังไปทั่วโลกนั้นคือเจ้าแกะดอลลี่ ที่มีอายุขัยไม่ยาวนักเพียง 6 ปีเศษ ทั้งที่สายพันธุ์ของมันควรจะมีอายุ 12 ปี เจ้าดอลลี่มีภาวะแทรกซ้อนในปอด และข้อต่อกระดูกทั่วร่างกายเกิดการเสื่อมอย่างรวดเร็ว
นับแต่นั้นการทดลองก็เกิดขึ้นมากมายในห้องทดลองทั่วโลก ทั้งสัตว์ที่ยังมีอยู่ ใกล้สูญพันธุ์ และสัตว์โลกโบราณที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
ใน ค.ศ.2008 คณะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียและมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ได้สกัด DNA จากก้านขนของแมมมอธ 13 ตัว ที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั่วโลก ก่อนจะนำมาจัดเรียงวาง DNA ขึ้นใหม่เพื่อหวังจะได้พบกับคำตอบที่ว่าเหตุใดพวกมันจึงสูญหายไปจากโลก

ความพยายามที่จะทำการโคลนนิ่งมีอยู่เสมอมา เมื่อปลายปีก่อนนี้นี่เอง มีการพบซากลูกแมมมอธในเขตไซบีเรีย เป็นซากที่สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่เคยพบมา เนื้อเยื่อยังคงมีสีแดง โดยทีมงานของรัสเซียและญี่ปุ่นบอกว่าเซลล์ที่ได้มานั้นน่าจะมีความสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่เคยเจอ ขั้นตอนต่อไปคือการคืนชีพ DNA ของมัน หลังจากนั้นอาจจะใช้ช้างเอเชียอุ้มท้องเนื่องจากสายพันธุ์ใกล้เคียงกัน พวกเขาหวังว่าคราวนี้จะสำเร็จ
ใช่ว่าการโคลนนิ่งจะหยุดเพียงแค่สัตว์ กับมนุษย์นั้นก็มีการทำกันมาเนิ่นนาน อย่างที่เคยเป็นข่าวโด่งดัง และน่าตกใจขึ้นไปอีกเมื่อมีการประกาศหาแม่อุ้มท้องมนุษย์ดึกดำบรรพ์นีแอนเดอร์ทัลซึ่งสาบสูญไปแล้วนานกว่า 33,000 ปี ศาสตราจารย์ จอร์จ เชิร์ช แห่งฮาร์วาร์ดวางแผนจะนำ DNA จากฟอสซิลกระดูกของมนุษย์ถ้ำไปใส่ในเซลล์ตัวอ่อนของมนุษย์ แต่ปรากฏว่ายังไม่มีหญิงสาวผู้ใดยกมือเป็นอาสาสมัคร
เรื่องการโคลนนิ่งนี้ยังอาจทำให้เราได้บุคคลสำคัญของโลกคืนกลับมาอีกด้วย อย่างล่าสุดที่มีการขุดพบกะโหลกซึ่งคาดว่าจะเป็นของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 กษัตริย์อังกฤษในอดีต บริเวณลานจอดรถแห่งหนึ่ง ทีมนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ต้องออกติดตามหาตัวทายาทรุ่นที่ 17 เพื่อเปรียบเทียบดีเอ็นเอ ถ้าผลออกมาว่าใช่กะโหลกของพระองค์ อาจจะมีการโคลนนิ่งพระองค์ขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งหมดทั้งมวลนี้มีความเป็นไปได้สูงหลังจากที่ทาง 2 สถาบันริเกน (Riken) แห่งญี่ปุ่นโคลนนิ่งหนูได้สำเร็จในปี ค.ศ.2006 ความสำเร็จนี้ตีพิมพ์ลงวารสาร National Academy of Sciences โดยนำเซลล์จากหนูที่ตายแล้วแช่แข็งไว้ 16 ปี เก็บไว้ในอุณหภูมิ -20 องศา ที่จริงความเย็นขนาดนั้นจะทำให้เซลล์เสียหาย พวกเขาจึงเลือกเซลล์จากส่วนสมองซึ่งมีไขมันห่อหุ้มอยู่มากที่สุด มันจึงไม่ได้รับความเสียหาย สกัดเอานิวเคลียสจากเซลล์แล้วไปใส่ในหนูเพื่อฝากท้องนาน 3 สัปดาห์ มัน แข็งแรงเมื่อมีชีวิต ทั้งยังสามารถผสมพันธุ์และมีลูกออกมาได้


ครั้งหนึ่งในโลกของจินตนาการ การใช้วิทยาศาสตร์ปลุกชีพสัตว์ดึกดำบรรพ์เคยฮือฮาไปทั่วโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1993 จากภาพยนตร์เรื่อง “Jurassic Park กำเนิดใหม่ไดโนเสาร์” ซึ่ง สตีเว่น สปีลเบิร์ก สร้างจากหนังสือของ ไมเคิล ไครชตัน ว่าด้วยการปลุกชีพเจ้าสัตว์โลกยุคโบราณหลากหลายสายพันธุ์ด้วยการแยก DNA ของไดโนเสาร์ออกมาจากเลือดในท้องของยุงดึกดำบรรพ์ที่ถูกอำพันหุ้มอยู่ ซึ่งท้ายที่สุดมนุษย์ก็ไม่สามารถควบคุมมันได้  เหล่าไดโนเสาร์อาละวาดเข่นฆ่าผู้คน แถมยังเปลี่ยนเพศขยายพันธุ์ได้เอง กลายเป็นมหันตภัยสุดคาดคิด


ในยุคนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ปลุกกระแสสนใจของมหาชนในด้านวิทยาศาสตร์และ DNA ได้อย่างไม่มีเรื่องใดทาบติด และเร็วๆนี้ Jurassic Park ก็หวนกลับมาเข้าโรงฉายในรูปแบบ 3D ซึ่งการคืนชีพแบบสามมิติครั้งนี้จะต้องสมจริงสมจัง ระทึกขวัญยิ่งกว่าของเดิมๆอย่างแน่นอน ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลในยุคปัจจุบัน สร้างสรรค์ให้ไดโนเสาร์ที่เราเคยดูกันแบบ “แบนๆ” เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พลิกโฉมกลับมาโลดแล่นได้อย่างมีชีวิตชีวาน่าทึ่งกว่าของเดิมหลายเท่า และนี่ก็แว่วข่าวว่าปีหน้า ภาค 4 ของหนังเรื่องนี้ก็จะมีให้ดูกันแล้วครับ
อาจเป็นไปได้ว่า ในวันหนึ่งวันใดในอนาคตสิ่งที่เราเคยชมทางภาพยนตร์จะกลายเป็นจริง และก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง เราควรต้องขบคิดกันอย่างรอบคอบว่า การโคลนนิ่งสัตว์ยักษ์อย่างไดโนเสาร์นั้นจะได้คุ้มเสียหรือไม่.











Dinosaur Games Of All Time

 Dinosaur Games Of All Time

เกมส์ที่ 1 ARK: Survival Evolved 
ต้อนรับการเข้าฉายของ Jurassic World และสำหรับคนชื่นชอบไดโนเสาร์เป็นพิเศษ ทางทีมงานที่กำลังอินกับเกมและหนังอยู่ เลยอยากเอามารีวิวเบื้องต้นให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกันนะครับ เผื่อใครดูหนังมาแล้วยังติดลมเหมือนผม
ARK: Survival Evolved เป็นเกม Sandbox + Survival + Multiplayer ซึ่งผู้เล่นจะตื่นขึ้นมาบนเกาะร้างแห่งหนึ่ง พร้อมกางเกงในตัวเดียว ซึ่งไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเราถึงมาอยู่บนเกาะนี้ได้ แต่มีหน้าที่เดียวเท่านั้นคือ หาทางมีชีวิตอยู่บนเกาะแห่งนี้ โดยตัวเกมจะมุ่งเน้นให้เราทำการสร้างของต่าง ๆ เช่น ขวาน, ธนู และ บ้าน เพื่อให้อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ แต่การจะใช้ชีวิตมันไม่ง่ายเลย เพราะตัวเราจะต้องเจอกับเหล่าสัตว์ร้าย,ไดโนเสาร์, ผู้เล่นที่ไม่เป็นมิตร ทีคอยมาขัดขวางหรือแย่งชิงทรัพยากรไปจากเรา พร้อมทั้งเราสามารถที่จะจับเหล่าไดโนเสาร์มาเป็นเพื่อน, คอยใช้งาน และเป็นบอร์ดี้การ์ดเฝ้าฐานให้กับเราได้อีกด้วย!!

เกมส์ที่ 2 primal carnage extinction
Circle 5 Studio และ Pub Games ได้เผยเกมส์ซู้ตติ้งออนไลน์ใหม่ Primal Carnage: Extinction ซึ่งเตรียมให้บริการบน Steamเดือนพฤศจิกายนนี้ และสำหรับ PlayStation 4 ในช่วงต้นปี 2015
Primal Carnage: Extinction เป็นเกมส์แนวชู้ตติ้งออนไลน์ ที่สร้างโดยเครื่องมือ Unreal Engine ให้ภาพละเอียดสวยงาม เกมสืจะดำเนินอยู่บนเกาะปริศนาที่ถูกรุนรานโดยเหล่าไดโนเสาร์ ผู้เล่นสามารถเลือกฝ่ายระหว่างการเล่นเป็นไดโนเสาร์ตามล่ามนุษย์ที่จะมากำจัด หรือเป็นกองกำลังมนุษย์ที่พร้อมจะทำลายเหล่าไดโนเสาร์ให้สูญพันธุ์อีกครั้งก็ได้ เตรียมรอเล่นกันได้เลย


เกมส์ดับที่ 3 The Hunter: Primal
News
ในเวอร์ชั่นเต็มนี้ยังมีการเปิดตัว Quetzalcoatlus ไดโนเสาร์บินได้รวมถึงอาวุธและระบบสภาพอากาศแบบไดนามิกในพื้นที่ของเกมที่กว้างใหญ่ถึง 9.3 ตารางไมล์
ความพิเศษยังไม่หมดลงเพียงเท่านี้ The Hunter: Primal ยังสนับสนุนระบบ eye-tracking ที่จะทำให้มุมกล้องบนเกมนั้นปรับไปตามทิศทางตาของผู้ที่เล่นอีกด้วย แต่ทั้งนี้ผู้เล่นจะต้องมีอุปกรณ์เสริมอย่าง SteelSeries Sentry ซะก่อนถึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ครับ

เกมส์ที่ 4 King Kong 


จากเรื่องราวของลิงยักษ์ในใจกลางนครนิวยอร์ค มาเป็นเกม PC ยอดฮิตในขณะนี้ นั่นก็คือ King Kong 
ซึ่งตอนนี้ได้เผยความแปลกใหม่ที่เพิ่มเข้ามาให้ต่างจ ากในภาพยนตร์ทาง Ubisoft 
เจ้าของเกม Peter Jackson's King Kong เกม PC จากภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ ได้ออกมากล่าวว่าเกมนี้จะมีฉากจบให้เลือกได้
ซึ่งต่าง จากในภาพยนตร์ “ในกรณีที่ผู้เล่นสามารถช่วยคิงคองให้รอดตายจากเครื่ องบินรบได้ และสามารถพาเจ้าลิงยักษ์กลับบ้านที่เกาะหัวกะโหลกได้ ”



เกมส์ที่ 5 Jurassic Park operation genesis



เกมส์นี่คุณจะได้สร้างแหล่งท่องเที่ยวแบบสวนสัตว์ไดโนเสาร์ อะไรประมาณนั้นแหละครับ ไดโนเสาร์นาๆชนิดที่คุณต้องดูแล เลี้ยงมันตั้งแต่มันเกิด การรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว การสร้างโรงแรมสุดหรูทุกอย่างถูกนำมารวมกัน อย่างน่าประหลาดใจ อีกทั้งบางครั้งคุณจะต้องเจอเหตุการณ์เลวร้าย อย่างไดโนเสาร์ออกมาจู่โจมผู้คน คุณคือคนที่ต้องดูแลทุกอย่างให้ได้ กราฟฟิกในเกมส์เป็นแบบ 3D สวยงาม ลองโหลดกันไปเล่นดูนะครับ

อสูรสมุทรแห่งยุคไดโนเสาร์

อสูรสมุทรแห่งยุคไดโนเสาร์

นับแต่สมัยโบราณนานมาแล้ว ที่ท้องน้ำอันดำมืดของมหาสมุทรได้ทำให้มนุษย์เกิดจินตนาการถึงอสูรกายขนาดยักษ์ที่น่าหวาดกลัว ทว่าย้อนกลับไปในโลกยุคดึกดำบรรพ์เมื่อครั้งที่เหล่าไดโนเสาร์ครอบครองทั่วทั้งผืนแผ่นดินนั้น ท้องน้ำของมหาสมุทรก็เป็นที่อยู่ของเหล่าอสูรร้ายที่น่าหวาดหวั่นเช่นกัน นอกจากพวกไดโนเสาร์และเทโรซอร์หรือสัตว์เลื้อยคลานบินได้แล้ว ในมหายุคเมโสโซอิคยังมีสิ่งมีชีวิตอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าเกรงขามไม่แพ้กัน นั่นคือ เหล่าสัตว์เลื้อยคลานทะเลทั้งหลาย สัตว์กลุ่มนี้มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคเพอร์เมียนซึ่งเป็นยุคสุดท้ายของมหายุคพาลีโอโซอิค โดยในยุคนี้ สัตว์เลื้อยคลานบางชนิดที่หากินอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ ได้เริ่มกลับลงไปใช้ชีวิตในน้ำ ซึ่งสัตว์ชนิดแรกๆ ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ก็คือ มีโสซอรัส
มีโสซอรัส
มีโสซอรัส ถือเป็นสัตว์เลื้อยคลานทะเลรุ่นแรกๆ พวกมันมีลักษณะทั่วไปคล้ายกับตะโขงโดยมีขากรรไกรที่ยาวเรียวและฟันแหลมยาวที่เรียงกันจนเต็มปาก ซึ่งอาจจะใช้สำหรับดักสัตว์จำพวกกุ้งตัวเล็กๆ และอาจจะมีหางที่แบนคล้ายครีบ รวมทั้งเท้าที่เป็นพังพืดสำหรับช่วยในการว่ายน้ำด้วย
พวกสัตว์เลื้อยคลานทะเลในยุคเพอร์เมียนบางส่วน สามารถรอดจากการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในช่วงสิ้นสุดของมหายุคพาลีโอโซอิคมาได้ พวกมันยังคงมีวิวัฒนาการต่อเนื่องในมหายุคเมโสโซอิคจนมีการแพร่กระจายชนิดพันธุ์อย่างกว้างขวาง
ในช่วงเริ่มต้นของยุคไทรแอสสิคซึ่งเป็นยุคแรกของมหายุคเมโสโซอิค มีสัตว์เลื้อยคลานสองชนิดที่อาศัยอยู่ในทะเล นั่นคือ พวกพลาโคดอนท์ ที่มีลักษณะคล้ายกับกิ้งก่าทะเลตัวป้อมๆที่มีเกราะ ขณะที่บางชนิดก็ดูคล้ายกับเต่า กับ พวกโนโธซอรัส ที่มีลำตัวผอมยาวและอาจจะมีเท้าเป็นพังพืดที่ช่วยในการว่ายน้ำ
พลาโคดอนท์
นอโธซอรัส
เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางยุคไทรแอสสิค ก็มีสัตว์เลื้อยคลานทะเลอีกพวกหนึ่งวิวัฒนาการขึ้นมา นั่นคือ พวกอิคธีโอซอร์ ซึ่งได้วิวัฒนาการจนมีรูปร่างคล้ายกับปลาโลมาและบางชนิดนั้นก็ยังมีขนาดใหญ่พอๆกับวาฬเสปิร์มซึ่งยาวเกือบยี่สิบเมตร สัตว์กลุ่มนี้นับเป็นพวกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในช่วงปลายของยุคไทรแอสสิค
อิคธีโอซอร์
ต่อมา เมื่อเข้าสู่จูราสสิค ก็ได้มีสัตว์เลื้อยคลานทะเลกลุ่มอื่นๆปรากฏขึ้น โดยสัตว์เหล่านี้ได้มีวิวัฒนาการจนแปรสภาพของขาทั้งสี่ให้กลายเป็นครีบเพื่อใช้เคลื่อนตัวในน้ำ อย่างเช่น พวกพลีซิโอซอร์ และ พวกโมซาโรซอร์
พวกพลิซิโอซอร์มีวัวัฒนาการมาจากพวกนอโธซอรัสในยุคไทรแอสสิก พวกมันมีลำตัวอ้วนใหญ่ หางสั้น มีขาทั้งสี่เป็นครีบลักษณะคล้ายกับใบพาย สัตว์ในกลุ่มนี้แยกเป็นพวกคอยาวกับพวกคอสั้น โดยพวกคอยาวนั้นจะมีส่วนหัวเล็กและลำคอยาว ลักษณะของพวกมันจะดูเหมือนเต่าทะเลไม่มีกระดองที่มีคอเป็นงู รูปร่างของพวกมันเหมาะสำหรับล่าสัตว์น้ำขนาดเล็กกินเป็นอาหาร โดยหนึ่งในกลุ่มของพลิซิโอซอร์จำพวกคอยาวที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ อีลาสโมซอรัสที่มีลำคอยาวถึงห้าเมตรซึ่งเท่ากับสองในสามของความยาวทั้งหมดของมัน ในขณะที่พวกพลิซิโอซอร์ชนิดอื่นๆที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับอีลาสโมซอรัส อย่าง ดิปโพลไคดัสและมูเรโนซอรัสจะมีคอที่ยาวพอกับลำตัว
อีลาสโมซอรัส
สำหรับพวกพลิซิโอซอร์จำพวกคอสั้น จะมีหัวโตและขากรรไกรขนาดใหญ่พร้อมกับฟันที่แหลมคม บางชนิดอย่างเช่น ไลโอเพลโลดอน และ โครโนซอรัส มีขนาดใหญ่และอาจจะหนักกว่า 30 ตัน พวกมันน่าจะเป็นนักล่าที่น่าเกรงขามสำหรับสัตว์น้ำขนาดใหญ่ชนิดอื่นๆรวมทั้งพวกไดโนเสาร์ที่หากินอยู่ใกล้ชายฝั่งเป็นอาหาร
ไลโอเพลโลดอน
สัตว์เลื้อยคลานทะเลอีกกลุ่มหนึ่ง คือ พวกโมซาโรซอร์ที่มีวิวัฒนาการมาจากพวกพลาโคดัสหรือกิ้งก่าทะเลในยุคไทรแอสสิก พวกมันเป็นสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ ลำตัวค่อนข้างเพรียว บางชนิดมีเกราะที่แผ่นหลัง ลักษณะรูปร่างของมันคล้ายกับกิ้งก่าทะลผสมจรเข้ ขาทั้งสี่มีลักษณะเป็นครีบ ทั้งยังมีส่วนหางที่แบนคล้ายครีบด้วย จึงช่วยให้สามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว สัตว์ในกลุ่มโมซาโรซอร์ ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ โมซาโรซอรัส และไทโลซอรัส
โมซาโรซอร์กำลังกินบีเลมไนท์
นอกจากนี้ บรรดาอสูรสมุทรนักล่าทั้งหลายแล้ว ยังมีสัตว์เลื้อยคลานทะเลขนาดยักษ์อีกชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรของมหายุคเมโสโซอิค นั่นก็คือ อาเคลอนซึ่งเป็นเต่ายักษ์ที่มีกระดองยาวกว่า 4 เมตร และหนักถึงสามตัน ขาทั้งสี่ของมันมีลักษณะเป็นครีบแบบเดียวกับเต่าทะเลในปัจจุบัน ลักษณะของปากที่เป็นจงอยแข็งแสดงให้เห็นว่า อาหารของเต่ายักษ์เหล่านี้น่าจะเป็นพวกสาหร่ายและพืชทะเลอื่นๆ
ไทโลซอร์สังหารเต่ายักษ์อาเคลอน
ในช่วงกลางยุคจูราสสิคถึงยุคครีตาเชียสนั้น ได้มีสัตว์เลื้อยคลานทะเลชนิดใหม่ๆหลายชนิดวิวัฒนาการขึ้นมา ขณะเดียวกัน ก็ได้ทำให้พวกสัตว์เลื้อยคลานทะเลกลุ่มเดิมที่เคยครองท้องน้ำในช่วงแรก อย่าง พวกอิคธีโอซอร์ เริ่มลดจำนวนลง เนื่องจากไม่อาจแข่งขันในธรรมชาติกับพวกที่มาใหม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อพวกมันต้องเผชิญหน้ากับพวกนักล่าขนาดยักษ์อย่าง พวกพลิซิโอซอร์คอสั้นบางชนิด ทำให้เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางของยุคครีตาเชียส พวกอิคธีโอซอร์ก็ได้สูญพันธุ์ไป
อย่างไรก็ตาม ในยุคครีตาเชียสนี้ ก็ถือว่าเป็นยุคที่มีสัตว์เลื้อยคลานทะเลแพร่กระจายตัวมากที่สุดและยังมีชนิดพันธุ์ที่หลากหลายที่สุดด้วย แม้ว่า พวกสัตว์เลื้อยคลานทะเลจะอาศัยอยู่ในน้ำ แต่พวกมันก็ยังหายใจด้วยปอด และจะต้องโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อสูดอากาศหายใจเป็นระยะ แบบเดียวกับวาฬและโลมาในปัจจุบัน นอกจากนี้ สัตว์เลื้อยคลานทะลส่วนใหญ่ยังต้องขึ้นมาวางไข่บนบกแบบเดียวกับเต่าทะเล ยกเว้นก็แต่พวก อิคธีโอซอร์ที่ไม่ต้องวางไข่และให้กำเนิดลูกเป็นตัว อยู่ใต้น้ำแบบเดียวกับโลมาและวาฬ

บรรดาสัตว์เลื้อยคลานทะเลทั้งหลายได้ครอบครองท้องน้ำทั่วโลกตั้งแต่ยุคไทรแอสสิคเรื่อยมาจนถึงยุคครีตาเชียส จนกระทั่งเมื่อ 65 ล้านปีก่อน เมื่ออุกาบาตยักษ์พุ่งชนโลกและก่อให้เกิดภัยพิบัติที่นำไปสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในช่วงสิ้นสุดของยุคครีตาเชียส พวกมันก็ได้สูญพันธุ์ไปพร้อมกับเหล่าไดโนเสาร์และเทโรซอร์




นักล่าเเห่งท้องนภา

นักล่าเเห่งท้องนภาในยุค 65 ล้านปีก่อน
ในยุคแห่งไดโนเสาร์ที่ยาวนานนับร้อยล้านปี ณ.ช่วงเวลาที่เหล่าไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ครอบครองทั่วผืนแผ่นดิน และสัตว์เลื้อยคลานอสูรสมุทรนานาชนิดปกครองผืนน้ำ บนท้องฟ้าของโลกยุคนั้น คือ อาณาจักรของสัตว์บินได้ที่น่าเกรงขามซึ่งครอบครองท้องฟ้ามาก่อนหน้าที่นกตัวแรกจะปรากฏขึ้น เทโรซอร์จัดเป็นพวกสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ซึ่งอยู่ร่วมยุคเดียวกันกับไดโนเสาร์และมีคนจำนวนมากที่มักจะเข้าใจผิด โดยเรียกพวกมันว่าไดโนเสาร์บิน แต่ในความจริงนั้น เทโรซอร์เป็นพวกสัตว์เลื้อยคลานบินได้ซึ่งถือเป็นคนละกลุ่มกับไดโนเสาร์
พวกเทโรซอร์มีปีกซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นหนังบางๆที่ยึดอยู่ระหว่างนิ้วทั้งสี่ที่ยืดยาวออกมา ซึ่งปีกลักษณะนี้เหมาะแก่การร่อนมากกว่าจะกระพือบินเหมือนอย่างนก นักวิทยาศาสตร์คิดว่า เทโรซอร์น่าจะลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าได้โดยอาศัยอากาศร้อนช่วยพยุงปีกและลำตัว การที่พวกมันมีกระดูกกลวงและเบาทำให้ร่างกายของเทโรซอร์มีสภาพคล้ายกับเครื่องร่อน ทั้งนี้เทโรซอร์บางชนิดอาจจะมีขนบางๆ ปกคลุมร่างกายคล้ายกับค้างคาวด้วย
ควตซัลโคแอทลัตท์
เทโรซอร์สามารถจำแนกได้เป็นสองกลุ่ม คือ แรมโฟรินคอยด์ (Rhamphorhynchoids) และ เทอโรแดคทิลลอยด์ (Pterodactyloids) กลุ่มแรมโฟรินคอยด์ เป็นเทโรซอร์จำพวกแรกที่ปรากฏตัวขึ้นบนโลก พวกมันเริ่มปรากฏขึ้นมาตั้งแต่กลางยุคไทรแอสสิค ลักษณะร่วมของเทโรซอร์ในกลุ่มนี้คือ มีหางยาวและปีกแคบ พวกแรมโฟรินคอยด์มีขนาดตัวไม่ใหญ่นักขนาดโดยทั่วไปไม่โตไปกว่านกอินทรีตัวใหญ่ๆสักเท่าไร เทโรซอร์ในกลุ่มนี้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ แรมโฟรินคัสที่มีจงอยปากเรียวแหลม กับ ดิมอร์โฟดอนที่มีจงอยปากใหญ่และฟันแหลมคมเรียงเป็นแนว
แรมโฟรินคัส

ดิมอร์โฟดอน
สำหรับเทโรซอร์ในกลุ่มเทอโรแดคทิลลอยด์นั้น มีวิวัฒนาการขึ้นมาในยุคจูราสสิค โดยพวกนี้จะมีลักษณะเด่นตรงหางสั้นและปีกกว้างซึ่งช่วยให้ควบคุมการบินร่อนได้ดีกว่าพวกแรมโฟรินคอยด์ ซึ่งเมื่อเข้าสู่ยุคครีตาเชียส พวกเทอโรแดคทิลลอยด์ก็ได้เข้าแทนที่พวกแรมโฟรินคอยด์และได้กระจายพันธุ์ออกไปอย่างกว้างขวางจนกลายเป็นเจ้าเวหาในยุคนี้ พวกเทอโรแดคทิลลอยด์มีชนิดพันธุ์ที่หลากหลายและขนาดที่แตกต่างกันไป โดยชนิดที่เล็กที่สุดอย่าง เทอโรแดคทิลลัส มีขนาดไม่โตไปกว่านกกระจอก ขณะที่พวกตัวใหญ่อย่าง ออนิโธไครัสและเทอราโนดอนนั้นจะมีขนาดพอๆกับเครื่องร่อน หรืออย่างเควตซัลโคแอทลัตท์ซึ่งจัดเป็นเทโรซอร์ที่ใหญ่ที่สุดนั้นอาจจะมีขนาดใหญ่เท่ากับเครื่องบินเล็กเลยทีเดียว
เทอโรแดคทิลลัส
ออนิโธไครัส
นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า เทโรซอร์หลายชนิดอาจจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยอาหารหลักของสัตว์พวกนี้ก็คือปลาและแมลง ในขณะที่เทโรซอร์ขนาดใหญ่บางชนิดก็อาจจะล่าสัตว์ตัวเล็กๆ หรือกินซากที่พวกไดโนเสาร์นักล่าเหลือทิ้งไว้ เป็นอาหาร เช่นเดียวกับพฤติกรรมของนกแร้งในยุคปัจจุบัน
ฝูงเทอราโนดอน
ฝูงเควตซัลโคแอทลัตท์

นับแต่ปลายยุคจูราสสิคเป็นต้นมา เทโรซอร์หลายชนิดได้มีวิวัฒนาการจนมีลักษณะแปลกประหลาด อย่างเช่น พเทโรดัสโทรที่มีจงอยปากยาวโค้งคล้ายกับนกช้อนหอย หรืออย่าง ทาพีจารอ ที่มีหงอนขนาดใหญ่อยู่บนหัว โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่า หงอนของทาพีจารอ อาจมีประโยชน์ในการดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้ามแบบเดียวกับนกเงือกในปัจจุบัน
ทาพีจารอ

เทโรซอร์ครอบครองท้องฟ้าของโลกดึกดำบรรพ์โดยไร้ผู้เทียบเทียม จนกระทั่งมาถึงช่วงยุคจูราสสิคที่มีนก ชนิดแรกปรากฏขึ้นและได้กลายเป็นคู่แข่งของพวกมัน กระนั้นพวกนกก็ยังไม่อาจเอาชนะเหล่าเทโรซอร์ได้และพวกมันก็ยังคงครองความเป็นจ้าวเวหาเรื่อยมาจนถึงปลายยุคครีตาเชียส กระทั่งเมื่อเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ เทโรซอร์ทั้งหลายก็ได้สูญพันธุ์ไปพร้อมกับไดโนเสาร์ และทิ้งท้องฟ้าไว้ให้เหล่านกครอบครอง



ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับไดโนเสาร์

คุณอาจจะเคยดูหนังที่เกี่ยวกับไดโนเสาร์มาหลายเรื่อง วันนี้เราจะมาเเนะนำหนังไดโนเสาร์น่าดูให้คุณได้รู้



เรื่องที่ 1 Dinosuar ของ Walt Disney Studios ค้นพบความอัศจรรย์บันเทิง ที่นำเทคโนโลยีสุดยอดของการสร้างภาพยนตร์ ด้วยการผสมผสานภาพที่ถ่ายจากสถานที่จริงเข้ากับการ์ตูนคอมพิวเตอร์ ในภาพยนตร์สุดตื่นตาเร้าระทึกใจ ไดโนเสาร์ คือภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ ตื่นเต้นตระการตา กับเรื่องราวของไดโนเสาร์หลากพันธุ์ที่ต้องผจญภัยกับสิ่งท้าทาย ชีวิตพวกเขาตลอดกาลเดินทาง พวกเขาเรียนรู้ถึงความกล้าหาญ ความหวัง และการร่วมแรงร่วมใจกัน ทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะอุปสรรคใหญ่น้อยทั้งหลายได้สำเร็จ ย้อนเวลาไป 65 ล้านปีสู่การผจญภัยในยุคไดโนเสาร์ครองโลก พบกับ อลาดาร์ ไดโนเสาร์พันธุ์อีกัวโนดอน ผู้พรากจากฝูงของเขาตั้งแต่อยู่ในไข่ โชคดีที่ถูกเลี้ยงดูโดยฝูงลิเมอร์ อันมีสมาชิกประกอบด้วยไซนี่เจ้าคารม และพลิโอผู้เมตตา เป็นต้น จนเมื่อห่าฝนอุกกาบาตพุ่งชนโลกและทำลายถิ่นอาศัยของพวกเขา อลาดาร์และครอบครัวลิเมอร์ของเขาจึงร่วมเดินทางพร้อมไดโนเสาร์พันธุ์ต่างๆ เพื่อค้นหาถิ่นที่วางไข่อันสงบสุขและอุดมสมบูรณ์ 


เรื่องที่ 2 walking with dinosaurs ด้วยเสียงพากย์ต้นฉบับระดับสุดยอดของจัสติน ลอง (Alvin and the Chipmunks) และ จอห์น เลกุยซาโม่ (Ice Age) จะพาคุณเดินทางสู่ยุคก่อนประวัติอันน่าตื่นตาตื่นใจ ที่คนทั้งครอบครัวจะได้สนุกร่วมกัน! ในยุคที่ไดโนเสาร์ครองโลก แพทชิ เจ้าแพกคิไรโนซอรัสน้อย ที่เกิดมาตัวเล็กกว่าตัวอื่นๆ ในคอกได้ก้าวสู่การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต หนัง "วอล์คกิ้ง วิธ ไดโนซอร์ เดอะมูฟวี่ hd" เมื่อเขาต้องตามหาบ้านใหม่ของเขา ในโลกอันน่าตื่นเต้นที่เต็มไปด้วยเพื่อนผู้เริงร่า และศัตรูที่น่าเกรงขาม ซึ่งทำให้แพทชิได้ค้นพบความกล้าหาญในการเป็นผู้นำของฝูงและเป็นฮีโร่แห่งยุคดึกดำบรรพ์!!!


เรื่องที่ 3 the dinosaur project 2012 ทีมสำรวจได้เดินทางไปยังประเทศคองโก ใจกลางทวีปแอฟริกา เพื่อตามหาสัตว์น้ำประเภทหนึ่งที่ปรากฏอยูในเรื่องเล่าและตำนานพื้นบ้านของคนท้องถิ่นมานานหลายชั่วคน แต่แล้วแผนการที่จะสรา้งชื่อเสียงจากการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของหัวหน้าทีม (ริชาร์ด ดิลเลน) ก็เกือบล่มไม่เป็นท่า เมื่อเฮลิคอปเตอร์ที่ทีมของเขาเดินทางมาเกิดอุบัติเหตุชนเข้ากับนกประหลาดขนาดใหญ่จนเครื่องตก และยังพบว่า ลุก(แมตต์ เคน) ลูกชายของเขาแอบอยู่ในเฮลิคอปเตอร์เพื่อติดตามการเดินทางของเขาอย่างลับๆ ลุก เป็นชายหนุ่มที่หลงใหลในเทคโนโลยี เขาจึงบันทึกทุกเหตุการณ์ผ่านกล้องวิดีโอที่เขานำติดตัวไปด้วย โดยหารู้ไม่ว่ากล้องนั้นจะเป็นพยานหลักฐาน ที่จะยืนยันการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่คนทั้งโลกคิดว่าสูญพันธู์ไปนับล้านปีแล้ว...




เรื่องที่ 4 Jurassic park 1 ผลงานสุดยอดแห่งจินตนาการ ความน่าพิศวง ผลงานกำกับของสตีเว่น สปีลเบิร์ก ณ เกาะที่แสนห่างไกลแห่งหนึ่ง ยอดมหาเศรษฐี.(ริชาร์ด แอทเทนเบอโรห์).ได้สร้างสรรค์สวนขนาดยักษ์ขึ้นลับๆเเพื่อแสดงไดโนเสาร์มีชีวิตที่เพาะพันธุ์จากสาร DNA ซึ่งตกทอดมาจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนเปิดสวนนี้ให้สาธารณชนได้ชม ท่านเศรษฐีเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านซากดึกดำบรรพ์ รับบทโดยแซม นีลล์ และ.แฟนสาวผู้เป็นนักพฤกษศาสตร์ดึกดำบรรพ์ รับบทโดย ลอร่า เดิร์น และ.นักคณิตศาสตร์ชื่อดัง.(เจฟ โกลด์บลัม).และ.หลานสองคนช่างเรียนรู้ให้มาสัมผัสสวนแห่งนี้ แต่การมาเยือนกลายเป็นการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น จูราสสิค พาร์ค กำเนิดใหม่ไดโนเสาร์ เมื่อเหล่าไดโนเสาร์หลุดจากการควบคุมและ.เริ่มคุกคามมนุษย์บนเกาะ ร่วมตื่นตาระทึกใจกับการผจญภัยอันน่าตะลึง



เรื่องที่ 5 Jurassic park 2 ผลงานสะเทือนโลกจากผู้กำกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก กำเนิดเรื่องราว 4 ปีให้หลังเมื่อจูราสสิค
พาร์ค ถูกทำลายบนเกาะที่ไม่ห่างไกลนัก ไดโนเสาร์จำนวนมากสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างลับๆเและ.เป็นอิสระ แต่เรื่องร้ายแรงกำลังจะเกิดขี้น มันคือเแผน การโยกย้ายไดโนเสาร์สู่กลางเมืองใหญ่ จอห์น แฮมมอนต์.(รับบทโดยริชาร์ด แอทเทนเบอโรห์).ผู้ลงจากตำแหน่งประธานบริษัท InGen พบโอกาสในการไถ่ถอนความผิดเมื่อคราวสร้างความหายนะในจูราสสิค พาร์ค จึงส่งเอียน มัลคอล์ม.(เจฟฟ์ โกลด์บลัม).ไปยังเกาะดังกล่าว ก่อนกลุ่มคนร้ายจะไปถึง ณ ที่นั้นคนสองกลุ่มเผชิญหน้ากัน และ.ร่วมกันผจญกับความหฤโหดของสิ่งมีชีวิตล้านปี เพื่อความอยู่รอด พวกเขาต้องรวมตัวกันเป็นทีมฝ่าอันตราย เดอะ ลอสต์ เวิลด์ จูราสสิค พาร์ค ใครว่ามันสูญพันธุ์ ที่มีเวลาไม่มากนัก




เรื่องที่ 6 Jurassic park 3 การผจญภัยเริ่มต้นสู่ความระทึกเมื่อ ดร.อลัน แกรนท์.(แซม นีล).นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญเรื่องไดโนเสาร์ ยอมรับข้อเสนอของมหาเศรษฐีนักผจญภัย.(วิลเลี่ยม เอช.เมซี่).และ.ภรรยา.(รับบทโดยเท ลีโอนี).ให้เป็นไกด์พาพวกเขาบินชมทั่วเกาะอิสลา ชอร์น่า แหล่งเพาะพันธุ์ไดโนเสาร์ของบริษัทอินเจนในอดีต จนเมื่อทั้งหมดตกค้างอยู่บนเกาะอันตรายแห่งนี้ ดร.แกรนด์ จึงได้รู้ว่าคณะผู้ร่วมเดินทางของเขา หาใช่ลูกทัวร์ธรรมดาอย่างที่พวกเขาอ้าง และ.คราวนี้ จูราสสิค พาร์ค 3 ไดโนเสาร์พันธุ์ดุ เหล่าสัตว์ยุคล้านปีเจ้าของพื้นที่บนเกาะตัวจริงพวกมันฉลาดกว่า ว่องไวกว่า และ.ดุร้ายกว่าที่ใครๆเเคยนึกถึง



เรื่องที่ 7 Jurassic world  (จูราสสิค เวิลด์) ครั้งหนึ่งภาพยนตร์เรื่อง จูราสสิคพาร์คภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับไดโนเสาแห่งยุค 90 ที่มีชื่อว่า”Jurassic Park”(ปีเข้าฉาย :1993 ผู้กำกับ”สตีเวน สปีลเบิร์ก”)เหล่าไดโนเสาร์สุดโหดจอมเจ้าเล่ห์ที่เคยสร้างความสะพรึงกลัวให้กับทุกคนกำลังจะกลับมาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มอีกครั้ง สำหรับภาพยนตร์ระดับตำนานที่เคยสะกดทุกสายตาด้วยเทคนิคและจินตนาการสุดอลังการงานสร้างของสตีเวน สปีลเบิร์ก ที่แฟนๆ หลายคนรอคอยกันมานานถึง 14 ปีเต็มเรื่อง อย่าง Jurassic World (จูราสสิค เวิลด์) กำลังจะมาให้ได้ชมกันแล้ว อดใจรอกันอีกนิดต้นเดือนมิถุนายนนี้รับรองว่าได้ชมกันอย่างแน่นอน ซึ่ง Jurassic World (จูราสสิค เวิลด์) เป็นภาพยนตร์แนวแอ็กชั่นผจญภัยสุดมันฟอร์มยักษ์แห่งปี สำหรับในภาคนี้นำแสดงโดย คริส แพรตต์ พร้อมด้วย จูดี้ เกียร์, ไท ซิมป์กินส์, ไบรซ์ ดัลลาส ฮาวเวิร์ด, นิค โรบินสัน, เจก จอห์นสัน, อีร์ฟาน ข่าน และบีดี หว่อง รวมทั้งได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง โคลิน เทรเวอร์โรว์ มาทำหน้าที่กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ นับว่าสิ้นสุดการรอคอยสำหรับคอหนังตัวจริง เคยสร้างความประทับใจและความสนุกสนานให้กับผู้ชมจนมันประทับอยู่ในความทรงจำของใครอีกมากมายจวบจนทุกวันนี้ มาครั้งนี้ในปี 2015 เราจะได้พบกับการกลับมาของไดโนเสาร์เหล่านี้อีกครั้ง พร้อมกับสวนสนุกที่บรรจุพวกมันไว้เพื่อสร้างความสนุกสนาน ตระการตา แน่นอนว่ารวมถึงการทำเงินอย่างมหาศาลด้วย และนี่คือผลงานที่อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์ก ซึ่งได้โคลิน เทรเวอร์โรว์ นั่งแท่นผู้กำกับ รับประกันความสนุก ตื่นตาตื่นใจ ไม่แพ้ที่เคยสัมผัส โดยใน Jurassic World (จูราสสิค เวิลด์) ได้ จอห์น ชวาตซ์แมน มารับหน้าที่เป็นผู้กำกับ